ประเทศศรีลังกาที่เป็นเกาะเล็ก ๆ ตั้งอยู่กลางมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งประเทศนี้ไม่ได้อยู่ในลิสต์ประเทศที่เราอยากจะไปมากนัก จนกระทั่งเราได้เจอตั๋วราคาดีไม่แพง ช่วงโปรโมชั่นราคาถูกใจ และหลังจากนั้นเราจึงเริ่มทำการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศศรีลังกาและเราได้ค้นพบว่าประเทศศรีลังกามีความสวยงามทั้งด้านธรรมชาติและวัฒธรรม รวมไปถึงความหลากหลายของสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองต่างๆ ดังนั้นเราจึงจองเที่ยวบินไปกลับเพื่อไปสำรวจและท่องเที่ยวประเทศศรีลังกาด้วยตัวเอง รวมเวลาทั้งสิ้น 7 วัน
ในบล็อกโพสต์นี้ เราจะขอแนะนำแผนการเดินทางของเรา สำหรับการเดินทางแบบรอบๆของศรีลังกาเพื่อเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ ของ เมือง Negombo ,เมือง Damballa ,เมือง Kandy ,เมือง Ella,เมือง Yala เมือง Tangelle และ เมือง Galle ในช่วงระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์
การเดินทาง Bangkok to Colombo
ดังที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้า การตัดสินใจของเราที่จะเดินทางไปศรีลังกานั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากหลังจากที่เราได้เจอเที่ยวบินราคาโดนใจบน Sky Scanner เที่ยวบินของเราจากไทยไปศรีลังกาเป็นของสายการบินไทย ค่าตั๋วไปกลับ 2 ใบ ในชั้นประหยัด ราคา 9,216 บาท (4,608 บาทต่อคน) เที่ยวบินของเราออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ (BKK) ในกรุงเทพฯ เวลา 22:15 น. และถึงสนามบิน Bandaranaike ใน Negombo (40 กม. นอกเมืองหลวง Colombo) เวลา 00:10 น. ใช้เวลาบินทั้งหมดประมาณ 3 ชั่วโมง 25 นาที โดยเวลาในประเทศไทยนั้นจะเร็วกว่าประเทศศรีลังกา 1 ชั่วโมง 30 นาที
ถึงสนามบิน Bandaranaike แล้ว ตอนแรกตั้งใจว่าจะนอนที่สนามบินจนเช้าแล้วขึ้นรถบัสไป Dambulla แต่พอไปถึงก็เห็นว่าไม่มีที่นั่งหรือที่พักผ่อน ก็เลยนั่งแท็กซี่ไปโรงแรมใกล้ๆกันสำหรับคืนนี้
Day 1: Negombo - Kurunegala - Dambulla
หลังจากค่ำคืนอันยาวนาน เราตื่นแต่เช้าเพื่อรับประทานอาหารเช้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงเดินไปที่สถานีขนส่ง Negombo เพื่อขึ้นรถบัสท้องถิ่นไปยัง เมือง Dambulla เวลาประมาณ 8:00 น. สถานีขนส่งนั้นวุ่นวายเป็นอย่างมากและทำให้เราสับสนในการไปขึ้นรถ อย่างไรก็ตาม ชาวศรีลังกาเป็นมิตรและพูดภาษาอังกฤษได้ดี ดังนั้นเราจึงสามารถหารถบัสที่ถูกต้องได้ เนื่องจากไม่มีรถบัสตรงจาก Negombo ไป Dambulla เราจึงต้องเดินทางไป Kurunegala ก่อนแล้วจึงเปลี่ยนรถโดยสาร จาก Negombo ถึง Kurunegala นั่งรถบัสใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที ราคา 100 LKR (ประมาณ 10.08 บาท)
หลังจากมาถึง Kurunegala เราก็ทานอาหารกลางวันกันอย่างรวดเร็วที่สถานีขนส่ง ก่อนขึ้นรถบัสคันถัดไปเพื่อไป Dambulla นั่งรถบัส ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ราคา 95LKR (ประมาณ 9.57 บาท) เวลาเดินทางทั้งหมดจาก Negombo ถึง Dambulla รวมเวลาแวะพักทานอาหารกลางวันแล้วประมาณ 5 ชั่วโมงกว่า ค่าใช้จ่ายทั้งหมดอยู่ที่ 195 LKR (ประมาณ 19.65 บาท) รถเมล์ก็ถูกมากแต่คนก็จะแน่นมาก ไม่มีเครื่องปรับอากาศและไม่มีห้องน้ำบนรถ
หลังจากมาถึง Dambulla ในตอนบ่ายแก่ๆ เราก็รีบเช็คอินห้องพักของเราที่ Milano Grand Hotel ซึ่งตั้งอยู่ติดกับสถานีขนส่ง Dambulla จากนั้นเราก็เดินไปตามถนนเพื่อรับประทานอาหารกลางวันก่อนจะมุ่งหน้าไปยัง Dambulla Cave Temple ซึ่งห่างออกไปประมาณ 2 กม. ค่าเข้า Dambulla Cave Temple 1,500LKR (ประมาณ 151 บาทต่อคน) หลังจากใช้เวลาสำรวจ Dambulla Cave Temple ไม่กี่ชั่วโมง เราก็เดินกลับมาที่เมือง Dambulla เพื่อพักผ่อนที่โรงแรมก่อน และช่วงเย็นจึงค่อยออกไปหาอาหารเย็นทานกัน
Day 2: Dambulla - Sigiriya - Kandy
เช้าวันรุ่งขึ้นเราตื่นแต่เช้า กินอาหารเช้าที่โรงแรม แล้วนั่งรถตุ๊กตุ๊กจาก Dambulla ไปที่ป้อมปราการหิน Sigiriya รวมระยะทางประมาณ 18 กม. ใช้เวลาประมาณ 25 นาที ค่าเดินทางเที่ยวเดียวสำหรับ 2 คน 2,500LKR (ประมาณ 252 บาท) หลังจากมาถึง Sigiriya เราใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงในการท่องเที่ยวสำรวจป้อมปราการหิน ตั๋วสำหรับ Sigiriya มีราคาค่อนข้างแพง 30 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1,030 บาทต่อคน) แต่ราคาก็คุ้มค่า การไต่ขึ้นสู่ยอด Lion Rock ใน Sigiriya มีทั้งหมด 1,270 ขั้นที่แบ่งออกเป็นส่วนๆ ใช้เวลาประมาณ 45 นาที-1 ชั่วโมงในการขึ้นไปบนยอดเขา ทางขึ้นสูงชันและร้อนมาก แต่วิว 360 องศาจากด้านบนก็คุ้มค่าสวยงามมาก
หลังจากสำรวจ Sigiriya เสร็จแล้ว เราก็ไปทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารใกล้ๆ กันก่อนจะไปขึ้นรถบัสกลับไปที่ Dambulla รถเมล์ระหว่าง Sigiriya ไปยัง Dambulla ถูกมาก ราคาเพียง 40LKR (ประมาณ 4.03 บาท) ใช้เวลาเดินทาง 45นาที-1ชม. เนื่องจากรถจอดระหว่างทาง รถบัสคันแรกออกจาก Dambulla เวลาประมาณ 06:30 น. และรถบัสเที่ยวสุดท้ายออกจาก Sigiriya เวลาประมาณ 17:00 น. เมื่อเรากลับมาถึง Dambulla เราก็เก็บกระเป๋าเช็คเอาท์จากโรงแรม Milano Grand Hotel และกลับไปที่สถานีขนส่งเพื่อเดินทางจาก Dambulla ไป Kandy
จาก สถานีขนส่ง Dambulla เรานั่งรถมินิบัสมาที่ Kandy ระยะทางประมาณ 75 กม. แต่เนื่องจากรถวิ่งช้าและถนนมีคนเดินค่อนข้างพลุกพล่าน การเดินทางจึงใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ค่าบริการ 400LKR (39บาท) ต่อคน รถมินิบัสจะจอดที่จุดต่างๆ ใน Kandy เพื่อให้คุณสามารถบอกชื่อที่พักของคุณกับคนขับได้ และคุณสามารถลงที่ป้ายใกล้เคียง เมื่อเรามาถึง Kandy เราลงที่ สถานีรถไฟ Kandy เนื่องจากเราต้องไปรับตั๋วโดยสารรถไฟไป Ella ในวันรุ่งขึ้น หลังจากที่เราได้ตั๋วแล้ว เราก็เดินไปที่ที่พักและเช็คอินที่ห้องของเราที่ Kandy City Hotel by Earl's จากนั้นเราก็ใช้เวลาช่วงเย็นเดินสำรวจเมืองเก่า Kandy และตลาด Kandy ก่อนรับประทานอาหารค่ำ แกงกะหรี่แสนอร่อย ก่อนที่จะกลับเข้าที่พักและนอนเก็บแรงในวันต่อไป
Day 3: Kandy - Ella
เนื่องจากรถไฟของเราจาก Kandy ไป Ella จะออกเดินทางเวลา 11:10 น. เราจึงตัดสินใจตื่นแต่เช้า เพื่อเราจะได้มีเวลาสำรวจ Kandy มากขึ้น และเราไปเยี่ยมชม The Temple of the Sacred Tooth Relic (Sri Dalada Maligawa/วัดพระเขี้ยวแก้ว) เวลาประมาณ 6:00 น. (วัดเปิดตั้งแต่ 05:30 น. - 20:00 น.) เนื่องจากเป็นช่วงเช้าตรู่วัดจึง เงียบสงบ นักท่องเที่ยวน้อยมาก เป็นโอกาสที่ดี ได้ไหว้พระและทำบุญ และมีคนในท้องถิ่น มาสวดมนต์และทำบุญด้วยเช่นกัน ค่าเข้า The Temple of the Sacred Tooth Relic 1,500LKR (ประมาณ 149 บาท)
หลังจากทำบุญที่วัดพระเขี้ยวแก้วแล้ว เราก็ซื้อของฝากจากตลาดหน้าวัด แล้วไปทานอาหารเช้าที่ร้านเบเกอรี่ในเมืองเก่าก่อนจะเดินเล่นรอบทะเลสาบ Kandy หลังจากเดินไปรอบ ๆ ทะเลสาบ เราก็กลับไปที่พัก Kandy City Hotel by Earl's เพื่อเช็คเอาท์ จากนั้นเราไปที่สถานีรถไฟ Kandy เพื่อรอรถไฟของเราไป Ella
รถไฟออกจากแคนดี้เวลา 11:10 น. เราจองตั๋วชั้นหนึ่งล่วงหน้าประมาณหนึ่งเดือนบนเว็บไซต์ Visit Sri Lanka Tours เนื่องจากบริษัทตั้งอยู่ในสหราชอาณาจักร เราจึงจ่ายเงิน 14 ปอนด์ต่อคน (ประมาณ 605 บาท) สำหรับตั๋วเที่ยวเดียว การจองล่วงหน้าจะมีราคาแพงกว่าการจองที่สถานีรถไฟ แต่เป็นวิธีเดียวที่จะรับประกันได้ว่าคุณจะได้ที่นั่งบนรถไฟอย่างแน่นอน เราขอแนะนำเป็นอย่างยิ่ง ตั๋วชั้นสองและชั้นสามก็มีขายเช่นกัน แต่ไม่มีเครื่องปรับอากาศ และตู้โดยสารมักเต็มไปด้วยผู้คนที่ยืนอยู่ตรงทางเดิน
การเดินทางทั้งหมดจาก Kandy ไปยัง Ella ใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมง และเรามาถึง สถานีรถไฟ Ella หลังเวลา 18:00 น. จากสถานีรถไฟ Ella เราเดินไปที่พักที่ Ella Mount View Guest Inn ซึ่งห่างออกไป 1.2 กม. จากนั้นเราใช้เวลายามเย็นเดินไปตามถนนสายหลักใน Ella แวะทานอาหารเย็น ดื่มเครื่องดื่มเย็นๆและซื้อของที่ระลึก ก่อนที่เราจะกลับไปที่ Ella Mount View Guest Inn เพื่อพักผ่อนเตรียมตัวเที่ยวในวันต่อไป
Day 4: Ella - Yala
เป็นอีกครั้งที่เราตื่นแต่เช้าก่อนจะออกไปปีนเขา Little Adam's Peak เพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้น เมื่อมาถึงที่พัก เราได้บอกเจ้าของที่พัก Ella Mount View Guest Inn ว่าเราต้องการไปที่ Little Adam's Peak เพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงตื่นแต่เช้าและจองรถตุ๊กตุ๊กไปที่ทางขึ้นของภูเขาซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 3 กม. จากจุดเริ่มต้นของเส้นทางเดินป่าที่รถตุ๊กตุ๊กมาส่งเราใช้เวลาประมาณ 40 นาทีก็ถึงยอด Little Adam's Peak วิวจากยอดเขาสวยงามมาก เราใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงบนภูเขาเพื่อชมวิวและถ่ายรูป เก็บภาพแห่งความประทับใจ
หลังจากไต่เขาขึ้นไปบนยอดเขา Little Adam's Peak แล้ว เราก็ใช้เวลาช่วงเช้าสำรวจไร่ชาต่างๆ ระหว่างเดินกลับเข้าไปในเมือง Ella เราไปเยี่ยมชมร้านชาเพื่อซื้อชาท้องถิ่น จากนั้นเราก็รับประทานอาหารกลางวันก่อนเวลา และกลับไปที่ Ella Mount View Guest Inn เพื่อเช็คเอาท์
หลังจากเช็คเอาท์ที่พักแล้ว เราก็นั่งรถส่วนตัวไป Yala แชร์รถกับนักท่องเที่ยวอีกสองคนที่เดินทางไปที่เดียวกัน ระยะทางจาก Ella ถึง Yala ประมาณ 130 กม. และใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงกว่า เรามาถึงประมาณ 16:00 น. รถยนต์ส่วนตัวราคา 2,500LKR ต่อคน (ประมาณ 241 บาท) เช็คอินที่ห้องของเราที่ Hotel Camorich จากนั้นใช้เวลาช่วงเย็นเดินเล่นรอบเมือง ทะเลสาบ Yoda และ ทะเลสาบ Tissa ก่อนรับประทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารท้องถิ่นแห่งหนึ่งก่อนเข้านอนเร็วขึ้นกว่าเดิม เพราะวันรุ่งขึ้นเราวางแผนจะไปซาฟารีที่ Yala National Park เริ่มเวลา 05:00 น.
Day 5: Yala - Tangalle
หลังจากตื่นนอนแต่เช้า เราก็ไปรับอาหารเช้าแบบแพ็คกล่องจาก Hotel Camorich และขึ้นรถ Jeep เพื่อออกเดินทางไปยัง Yala National Park เวลา 05:00 น. วันก่อนเราติดต่อไกด์ทัวร์ท้องถิ่นเพื่อขอราคา และหลังจากต่อรองกัน เราก็สามารถจองซาฟารีสำหรับ 4 คนได้ในราคา 7,500LKR ต่อคน (ประมาณ 725 บาท) ซึ่งถูกกว่าบริษัททัวร์อื่นมาก ที่ชาร์จ 9,000LKR ต่อคน (ประมาณ 870) ค่าธรรมเนียมรวมคนขับซึ่งเป็นมัคคุเทศก์ที่มีประสบการณ์ รถ Jeep แปดที่นั่งพร้อมช่องเปิดสำหรับดู กล้องส่องทางไกล 4 ชุด อาหารกลางวัน และเครื่องดื่ม ซาฟารี สวยงาม ธรรมชาติมากๆและเราเห็นสัตว์ป่ามากมาย มันคุ้มค่ามากเพราะเราใช้เวลาตั้งแต่ 05:00 น. - 18:00 น. (13 ชั่วโมง)
หลังจากเที่ยวซาฟารีเสร็จแล้ว เราก็ไปรับกระเป๋าจากโรงแรม แล้วเช่ารถส่วนตัวพร้อมคนขับจาก Yala ไป Tangalle เดิมทีเราต้องการเดินทางจาก Yala ไป Galle โดยตรง แต่เนื่องจากซาฟารีเสร็จช้า เราจึงตัดสินใจว่าการเดินทางนั้นยาวเกินไป และควรแวะพักที่ Tangalle เพื่อพักผ่อนสักคืนดีกว่า รวมระยะทางประมาณ 120 กม. ใช้เวลาเดินทางไม่เกิน 3 ชั่วโมง ค่ารถ 7,000LKR (ประมาณ 677 บาท) แต่เมื่อเราแชร์กับอีกสองคน เราจ่ายแค่ 1,750LKR ต่อคน (ประมาณ 170 บาท) เรามาถึง Tangalle เวลาประมาณ 21:00 น. และเช็คอินที่ห้องของเราที่ Kings Villa ทานอาหารเย็นอย่างรวดเร็วแล้วเข้านอน
Day 6: Tangalle to Galle
เนื่องจากเราไม่มีแผนสำหรับตอนเช้า เราจึงไม่ได้ตื่นเช้ามาก และช่วงเช้าจึงเดินไปตามชายหาดที่ Tangalle เพื่อหาที่ทานอาหารเช้า หลังจากใช้เวลาสองสามชั่วโมงสำรวจชายหาดของ Tangalle เราก็กลับมาที่ห้องของเราที่ Kings Villa เพื่อเช็คเอาท์แล้วไปที่ ป้ายรถเมล์ Tangalle เพื่อขึ้นรถบัสไปที่ Matara ซึ่งเราจะเปลี่ยนเป็นรถไฟ เพื่อไปต่อที่ Galle ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง ระยะทางประมาณ 45 กม. เมื่อเรามาถึง ป้ายรถเมล์ Matara เราสังเกตว่ามันตั้งอยู่ใกล้ชายหาด เราเลยตัดสินใจไปดู เราใช้เวลาสองสามชั่วโมงเดินไปตาม หาด Matara ชื่นชมทิวทัศน์และสำรวจบริเวณใกล้เคียง วัด Parewi Duwa ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆ เชื่อมต่อกับแผ่นดินใหญ่ด้วยสะพาน เวลาประมาณ 14:00 น. เราไปที่ สถานีรถไฟ Matara เพื่อขึ้นรถไฟไปยัง Galle จุดหมายสุดท้ายของเราในทริปศรีลังกา
เมื่อเรามาถึงที่ สถานีรถไฟ Matara เราจองตั๋วรถไฟขบวนแรกจาก Matara ถึง Galle เราโชคดีเพราะมีรถไฟรอออกหลังจากที่เรามาถึง ตั๋วราคา 80LKR ต่อคน (ประมาณ 8 บาท) และใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาทีเพื่อเดินทางไปยัง Galle ซึ่งอยู่ห่างจาก Matara ประมาณ 43 กม. เมื่อเรามาถึง Galle เราเช็คอินที่ห้องของเราที่ Pedlars Inn Hostel จากนั้นใช้เวลาช่วงบ่ายและเย็นเดินไปรอบ ๆ Galle เยี่ยมชมร้านกาแฟและร้านขายของฝากมากมาย รวมทั้ง Dutch Fort และ Galle Lighthouse
Day 7: Galle to Colombo
หลังจากที่พักผ่อนเต็มอิ่มแล้ว เราก็ออกจากโรงแรมเพื่อสำรวจท่องเที่ยวรอบ เมือง Galle เพื่อซื้อของฝาก เราไปเยี่ยมชม Dutch Reformed Church, Galle Clock Tower, และ National Maritime Museum จากนั้นไปรับประทานอาหารกลางวันที่เราชอบก็คือแกงกระหรี่ ที่ร้านอาหาร Mama's Galle Fort ซึ่งเราได้เมนูแกงกระหรี่ 10 อย่าง เราขอแนะนำให้คุณแวะร้านอาหารนี้ ในเมือง Galle หากคุณต้องการที่จะลิ้มลองรสชาติอาหารท้องถิ่นแบบโฮมเมด อยากจะบอกว่าอร่อยมาก
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ เราก็กลับไปที่ Pedlars Inn Hostel เพื่อเช็คเอาท์ จากนั้นเราก็เดินไปที่ สถานีรถไฟ Galle เพื่อขึ้นรถไฟไป Colombo เราจองตั๋วรถไฟสำหรับ Galle ไปยัง Colombo ล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์ Visit Sri Lanka Tours เนื่องจากเราได้ยินมาว่าในเส้นทางนี้ รถไฟจะเต็มเร็วมาก แต่เมื่อเราขึ้นรถไฟแล้วมีที่นั่งว่าง เนื่องจากบริษัทนี้ตั้งอยู่ในสหราชอาณาจักร เราจึงชำระค่าตั๋วเป็นเงินปอนด์ ตั๋วชั้นหนึ่งจาก Galle ถึง Colombo ราคา 11 ปอนด์ต่อคน (ประมาณ 472 บาท) รถไฟออกเดินทางเวลา 15:35 น. และเรามาถึงโคลัมโบหลังเวลา 18:00 น. ดังนั้นเวลาเดินทางทั้งหมดประมาณสองชั่วโมงครึ่ง
หลังจากมาถึง สถานีรถไฟ Fort Colombo เราข้ามถนนและเดินไปที่ สถานี Bastian Mawatha ซึ่งมีรถประจำทางไปยัง สนามบิน Bandaranaike สถานีขนส่งวุ่นวายและสับสนยิ่งนัก แต่คนในท้องถิ่นเป็นมิตรมากและเต็มใจที่จะช่วยค้นหารถบัสที่ถูกต้อง เราได้รับแจ้งว่ารถบัสไปสนามบินมีทุก ๆ 30 นาที แต่ดูเหมือนว่าจะออกเดินทางเมื่อรถบัสเต็มเท่านั้น และสุดท้ายเราก็รอประมาณหนึ่งชั่วโมง ตั๋วราคา 130LKR ต่อคน (ประมาณ 13 บาท) และใช้เวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมงก็ถึง สนามบิน Bandaranaike เนื่องจากช่วงนี้รถติดมาก เรามาถึงสนามบินเวลาประมาณ 20:00 น. เช็คอินเที่ยวบิน ผ่านการรักษาความปลอดภัย จากนั้นรับประทานอาหารเย็นและซื้อของฝาก และผ่อนคลายในสนามบินสองสามชั่วโมงเนื่องจากเที่ยวบินของเรายังอยู่ไม่ถึง เราบินกลับเมืองไทย เวลา 01 :30 น.
การออกเดินทาง: Colombo - Bangkok
เที่ยวบินของเรากับบินกับ สายการบินไทย ออกจาก สนามบิน Bandaranaike เวลา 01:30 น. เที่ยวบินใช้เวลา 3 ชั่วโมง 25 นาทีและเรามาถึงสนามบินสุวรรณภูมิเวลา 06:25 น.
จบทริปสำหรับ 7 วัน ในการเที่ยวศรีลังกาด้วยตัวเอง ครั้งแรกกับการที่เรากล้าที่จะหาเส้นทางใหม่ๆในการเดินทาง การค้นหาความชอบในการเดินทางท่องเที่ยว และเมื่อเรารู้เป้าหมายในการเดินทางของเราเป็นแบบไหนและเตรียมข้อมูลให้ละเอียดก็จะทำให้เราได้พบเจอกับสิ่งใหม่ๆ ประสบการณ์การเดินทางในแบบใหม่ ได้พบเจอเพื่อนใหม่ๆ ได้พบกับคนท้องถิ่นที่ใจดีและช่วยเหลือเราไปในทุกที่ ในการเดินทางครั้งนี้ เราดีใจเป็นอย่างมากที่เราเลือกประเทศศรีลังกา เพราะที่นี่ทำให้เราหลงรัก ทั้งธรรมชาติ วัฒนธรรมและผู้คนที่ต้อนรับเราเป็นอย่างดี และหวังว่าเราจะกลับมาชมความสวยงามของที่นี่อีกครั้ง
Comments